Disney+ Hotstar ดิสนีย์มีกลยุทธ์ปรับตัวอย่างไรในยุค Digital Transformation

ในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ หลังจากเหน็ดเหนื่อยจากการทำงานหนักมาทั้งอาทิตย์แล้ว หลาย ๆคนคงมีกิจกรรมและวิธีการพักผ่อนในช่วงวันหยุดที่แตกต่างกันออกไป หลายคนคงมีแพลนนอนตื่นสาย ๆ กลิ้งไปมาบนเตียง บางคนไปตามเก็บร้านกาแฟ บางคนไปเที่ยวกับครอบครัว บางคนชื่นชอบการดูหนัง จากที่เมื่อก่อนอยากจะดูหนังจอใหญ่ ภาพชัด และเสียงดัง เราต้องไปดูหนังในโรงภาพยนตร์เท่านั้น แต่เมื่อยุคสมัยเปลี่ยน เทคโนโลยีได้เข้ามามีบทบาททำให้การดูหนังของเราไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป  เพราะเราสามารถดูหนังที่มีภาพและเสียงคุณภาพดีถูกลิขสิทธิ์ได้จากที่บ้าน

ในเมื่อสตูดิโอก็ยังสร้างเนื้อหา (Content) อยู่ตลอด แต่จะนำสิ่งเหล่านี้ไปให้ถึงมือผู้บริโภคได้ ก็ต้องผ่านตัวกลางที่เรียกว่า Video Streaming นี่เป็นจุดเริ่มต้นของการปรับตัวเข้าสู่ยุค Digital Transformation  ที่สามารถทำเงินได้มหาศาลจากการที่ขายลิขสิทธิ์ของภาพยนตร์ เนื้อหา (Content) ที่ตัวเองสร้างขึ้นมา

ในวันนี้เราจะมาพูดถึง The Walt Disney Studios หนึ่งในสตูดิโอยักษ์ใหญ่ ที่ทุกคนคงรู้จักกันดี มาดูกันว่าดิสนีย์มีกลยุทธ์ปรับตัวตัวอย่างไรในยุค Digital Transformation
ซึ่งตอนนั้นดิสนีย์ทำเงินได้มหาศาลจากการที่ขายลิขสิทธิ์ของภาพยนตร์ตัวเองไปให้กับ “เน็ตฟลิกซ์ (Netflix)” แต่จะเป็นอย่างไรถ้าหาก “เจ้าของคอนเทนต์” อยากเป็น “เจ้าของสตรีมมิ่ง” ซะเอง

Disney+Hotstar to Digital Transformation

หากเราพูดถึง Disney  เรื่องที่เราพอจะนึกออกเป็นอันดับแรกก็คงเป็นเหล่าตัวการ์ตูน มิกกี้เม้า มินนี่เม้า โรนัลดัก ตัวการ์ตูนส่วนใหญ่ในตอนนั้น มีมาตั้งแต่ก่อนยุคปี 90 หลังจากนั้น การ์ตูนของ Disney ไม่ได้ประสบความสำเร็จอย่างที่หวังไว้ แน่นอนว่ามีหลายบริษัทที่เป็นคู่แข่งในตอนนั้นไม่ว่าจะเป็นบริษัท “พิกซาร์ (Pixar)” ที่ผลิตจากคอมพิวเตอร์แอนิเมชันร้อยเปอร์เซ็นต์ คู่แข่งอีกแห่ง ที่วัยรุ่นชอบและมีภาพยนตร์ออกมาให้ดูกันมากมายก็คือค่าย “มาร์เวล (Marvel)”  

Iger มองว่านี่คือการตัดสินใจที่สำคัญในการเติบโตแบบก้าวกระโดด ดิสนีย์สามารถพยายามปรับทีมงานของตัวเองเพื่อแข่งกับบริษัทเหล่านี้ แต่บ๊อบ อีเกอร์ เลือกอีกหนทางหนึ่งที่เร็วกว่า และคิดว่าบริษัทจะได้ประโยชน์มากกว่า นั่นคือการ “ซื้อกิจการ” เขาใช้เวลาร่วมสิบปี เข้าซื้อกิจการขนาดใหญ่สี่รายด้วยกัน ได้แก่ พิกซาร์ (Pixar), มาร์เวล (Marvel), ลูคัสฟิลม์ (LucusFilm)

Iger ได้บอกว่าการที่เขานำเอาคอนเทนต์ที่เป็นลิขสิทธิ์ของตัวเองมาลงในแพลตฟอร์ม Disney+ Hotstar จะทำให้บริษัทขาดรายได้จากการขายลิขสิทธิ์ถึงปีละ 140 ล้านดอลลาร์ แต่มันคือเป็นสิ่งที่วางแผนไว้แล้ว เพราะแม้รายได้จะน้อยลง แต่ขอให้ดึงคนเข้าสู่แพลตฟอร์มของตัวเองได้ เพราะเรื่องนี้สำคัญกว่า
Loki in Disney+Hotstar to Digital Transformation

บริษัทสุดท้ายที่ Disney เพิ่งไปซื้อมาเรียบร้อยเมื่อไม่กี่เดือนก่อนก็คือ ทเวนตี้ เซ็นจูรี่ ฟอกซ์ (Twentieth Century Fox) บริษัทผลิตภาพยนตร์ยักษ์ใหญ่ที่เราท่านรู้จักกันอย่างดีตอนนี้ได้อยู่ในธูรกิจของดิสนีย์เรียบร้อยแล้ว

ล่าสุดวันที่ 30 มิถุนายน 64 ดิสนีย์ได้เปิดตัวช่องบริการสตรีมมิ่งอย่างเป็นทางการที่มีชื่อว่า Disney+ Hotstar ในไทยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยมีค่าบริการ 499 บาทต่อปี และราคา 49 บาทต่อเดือน ดูได้ 2 แอคเค้าท์ ราคานี้เป็นราคาพิเศษของลูกค้าเอไอเอส (AIS) ซึ่งถือว่าถูกมากๆ คุ้มสุดๆ ในส่วนของผู้ใช้บริการ Disney+ Hotstar นั้น ต้องดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน Disney+ Hotstar ลงบนอุปกรณ์ของท่านเพื่อให้สามารถรับชมเนื้อหาในช่อง โดยสามารถดาวน์โหลดได้ตามลิงก์ที่เราแนบไว้ให้ สำหรับ iOS  สำหรับ Android หรือสามารถรับชมผ่านเว็บไซต์ disneyplushotstar.com ก็ได้เช่นกัน

Google Workspace หรือ Microsoft 365 ระบบไหนตอบโจทย์การทำงานในองค์กรของคุณ