เปรียบเทียบ Outsourcing กับ In-House เลือกอะไรดีในปี 2025?

Outsourcing และ In-House คืออะไร ?  

Outsourcing และ In-House เป็นสองแนวทางในการจัดการงานหรือโครงการในองค์กร โดยแต่ละแนวทางมีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกันขึ้นอยู่กับเป้าหมายและทรัพยากรขององค์กร ซึ่งมีความแตกต่างกันดังนี้ 

Outsourcing คือการที่ธุรกิจหรือองค์กรเลือกจ้างคนหรือบริษัทภายนอกมาช่วยทำงาน แทนที่จะให้ทีมงานในบริษัททำเอง ส่วนใหญ่จะจ้างในงานที่ต้องใช้ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านหรือไม่อยากเพิ่มภาระให้ทีม เช่น งานไอที การตลาดออนไลน์ การบัญชี หรือการบริการลูกค้า วิธีนี้ช่วยประหยัดต้นทุนได้เยอะ เพราะไม่ต้องจ้างพนักงานประจำหรือสร้างทีมขึ้นมาใหม่ 

นอกจากนี้ การใช้ Outsourcing ยังช่วยให้องค์กรปรับตัวได้ง่ายขึ้นในงานที่เป็นโปรเจกต์ระยะสั้นหรือเป็นงานเฉพาะกิจ ไม่ต้องแบกรับต้นทุนระยะยาว แถมยังได้มืออาชีพที่มีความชำนาญมาช่วยให้งานสำเร็จเร็วและมีคุณภาพตามที่ต้องการ 

In-House คือการที่องค์กรเลือกทำงานหรือจัดการโครงการเอง โดยใช้คนและทรัพยากรในบริษัทแทนที่จะจ้างคนหรือบริษัทข้างนอกมาทำให้ (แบบ Outsourcing) งานที่นิยมทำแบบ In-House มักเป็นงานสำคัญของธุรกิจ เช่น การพัฒนาสินค้า การวางแผนกลยุทธ์ หรือการบริหารจัดการทีมในองค์กร เพราะทีมงานภายในมักจะเข้าใจเป้าหมายและวัฒนธรรมของบริษัทเป็นอย่างดี 

ทีมงานที่ทำงานในรูปแบบ In-House มักมีความเข้าใจในวัฒนธรรมองค์กรและเป้าหมายทางธุรกิจ ทำให้งานสามารถควบคุมคุณภาพและสอดคล้องกับทิศทางขององค์กรได้ง่ายขึ้น 

บทบาทของ Outsourcing ในธุรกิจยุคใหม่ 

ในยุคนี้ที่ธุรกิจต้องแข่งกันทั้งความเร็วและการเปลี่ยนแปลง Outsourcing กลายเป็นตัวช่วยสำคัญที่ทำให้บริษัทปรับตัวได้ไวขึ้นและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ การจ้างคนหรือบริษัทภายนอกมาช่วยงานที่ต้องใช้ความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง เช่น เทคโนโลยีใหม่ๆ การตลาดออนไลน์ หรือการวิเคราะห์ข้อมูล ช่วยให้บริษัทไม่ต้องเสียเวลาและงบประมาณไปกับการสร้างทีมเอง แถมยังช่วยลดต้นทุนและเพิ่มความยืดหยุ่นในงานต่างๆ ได้อีกด้วย 

นอกจากช่วยลดภาระแล้ว Outsourcing ยังทำให้บริษัทมีเวลาโฟกัสกับสิ่งที่ตัวเองถนัดหรือสิ่งที่เป็นหัวใจของธุรกิจได้มากขึ้น ส่วนงานที่ไม่ใช่จุดแข็งก็ปล่อยให้ผู้เชี่ยวชาญภายนอกดูแลไป วิธีนี้ทำให้บริษัทเดินเกมได้ไวขึ้น ตอบโจทย์ลูกค้าได้เร็ว และเพิ่มโอกาสสร้างสิ่งใหม่ๆ ในตลาดที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา 

In-House เหมาะกับธุรกิจแบบไหน 

In-House เหมาะกับธุรกิจที่ต้องการควบคุมงานอย่างใกล้ชิดและมีงานสำคัญที่เกี่ยวข้องกับหัวใจหลักขององค์กร เช่น ธุรกิจที่เน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์เฉพาะตัวหรือบริการที่ต้องการความสม่ำเสมอและคุณภาพสูง เช่น อุตสาหกรรมเทคโนโลยี การผลิตสินค้าแบรนด์ตัวเอง หรือบริการที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลสำคัญของลูกค้า เพราะการใช้ทีมงานภายในช่วยให้องค์กรสามารถปรับเปลี่ยนแผนงานได้ทันทีและรักษาความลับทางธุรกิจได้ดีกว่า 

นอกจากนี้ ธุรกิจที่มีความซับซ้อนในกระบวนการทำงานหรือมีเป้าหมายในระยะยาว เช่น องค์กรขนาดใหญ่ที่ต้องการสร้างทีมงานที่มีความเข้าใจในวัฒนธรรมและวิสัยทัศน์ของบริษัท การทำงานแบบ In-House ยังเหมาะกับงานที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์และการประสานงานใกล้ชิดระหว่างแผนก เช่น การวางแผนกลยุทธ์ การออกแบบผลิตภัณฑ์ หรือการบริหารโครงการที่ต้องการความร่วมมือจากหลายฝ่ายในองค์กร 

ข้อดีและข้อเสียของ Outsourcing  

ข้อดี

  1. ลดต้นทุน 

การจ้าง Outsourcing ช่วยให้องค์กรไม่ต้องลงทุนในทรัพยากรหรืออุปกรณ์ที่อาจใช้เพียงชั่วคราว เช่น ซอฟต์แวร์เฉพาะทาง เครื่องมือไอที หรือพื้นที่สำนักงาน นอกจากนี้ ยังลดค่าใช้จ่ายในด้านเงินเดือนและสวัสดิการพนักงานที่ต้องจ้างประจำ ทำให้องค์กรสามารถจัดสรรงบประมาณไปยังส่วนอื่นๆ ที่สำคัญกว่า เช่น การพัฒนาธุรกิจหรือการวิจัยและนวัตกรรม 

  1. ความยืดหยุ่น 

Outsourcing เปิดโอกาสให้องค์กรสามารถใช้บริการตามความต้องการ เช่น การจ้างงานเป็นโปรเจกต์ระยะสั้นหรือเป็นรายชั่วโมง ซึ่งเหมาะกับงานที่มีความต้องการเฉพาะกิจหรืองานที่เกิดขึ้นไม่บ่อย นอกจากนี้ เมื่อความต้องการเปลี่ยนแปลง องค์กรสามารถปรับลดหรือเพิ่มขอบเขตการจ้างได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องการบริหารบุคลากรในระยะยาว 

  1. เข้าถึงผู้เชี่ยวชาญ 

การจ้างงานภายนอกช่วยให้องค์กรสามารถทำงานร่วมกับผู้ที่มีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์เฉพาะด้านได้ทันที โดยไม่ต้องเสียเวลาในการฝึกอบรมทีมงานในองค์กร เช่น การจ้างบริษัทไอทีที่มีความรู้เรื่องเทคโนโลยีล่าสุดมาพัฒนาระบบ หรือการจ้างเอเจนซี่การตลาดที่มีประสบการณ์ในการทำแคมเปญดิจิทัลที่ซับซ้อน 

  1. ลดภาระการบริหารจัดการ 

Outsourcing ช่วยลดความยุ่งยากในเรื่องการจัดการบุคลากร เช่น การจ้างงาน การฝึกอบรม หรือการบริหารเรื่องสวัสดิการ เพราะภาระเหล่านี้เป็นหน้าที่ของบริษัทที่รับงาน Outsourcing แทน ซึ่งช่วยให้ทีมในองค์กรมีเวลาและพลังงานไปโฟกัสกับงานสำคัญที่เกี่ยวข้องกับกลยุทธ์หลักของธุรกิจได้มากขึ้น 

ข้อเสีย

  1. การควบคุมที่ลดลง 

เมื่อมีการจ้างงาน Outsourcing การควบคุมวิธีการทำงานหรือรายละเอียดในกระบวนการต่างๆ จะลดลง เนื่องจากผู้ให้บริการจะมีวิธีการและกระบวนการทำงานของตัวเอง ซึ่งอาจไม่สอดคล้องกับวัฒนธรรมองค์กรหรือแนวทางที่องค์กรคุ้นเคย นอกจากนี้ การประสานงานอาจต้องใช้เวลาและมีความซับซ้อนมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อผู้ให้บริการอยู่ในประเทศอื่นที่มีความแตกต่างด้านเวลา ภาษา หรือวัฒนธรรม ทำให้อาจเกิดความล่าช้าหรือเข้าใจผิดในงานได้ 

  1. ความปลอดภัยของข้อมูล 

การจ้าง Outsourcing มักเกี่ยวข้องกับการแชร์ข้อมูลหรือระบบที่สำคัญขององค์กร เช่น ฐานข้อมูลลูกค้า ระบบการเงิน หรือแผนกลยุทธ์ ซึ่งหากผู้ให้บริการไม่มีมาตรการรักษาความปลอดภัยที่เพียงพอ อาจเสี่ยงต่อการรั่วไหลหรือการโจรกรรมข้อมูล นอกจากนี้ หากเกิดปัญหาด้านความปลอดภัยขึ้น องค์กรอาจต้องเผชิญกับความเสียหายทั้งในแง่ของชื่อเสียงและค่าใช้จ่ายในการแก้ไขปัญหา 

ข้อดีและข้อเสียของ In-House 

ข้อดี

  1. การควบคุมงาน 

การทำงานแบบ In-House ช่วยให้องค์กรสามารถกำหนดขั้นตอนและกระบวนการทำงานได้เต็มที่ ตั้งแต่การวางแผนงาน การดำเนินงาน ไปจนถึงการปรับปรุงแก้ไขได้แบบเรียลไทม์ ทีมงานที่อยู่ในองค์กรสามารถรับคำสั่งและตอบสนองความต้องการได้ทันที ทำให้ควบคุมคุณภาพงานได้ดีกว่า และสามารถปรับตัวได้ทันทีหากเกิดปัญหาหรือมีการเปลี่ยนแปลงในนาทีสุดท้าย 

  1. ความคุ้นเคยกับแบรนด์ 

ทีมงานที่ทำงาน In-House มักจะมีความเข้าใจในเป้าหมายหลักขององค์กร รวมถึงวัฒนธรรมและแนวทางของแบรนด์ได้ลึกซึ้งกว่า เพราะพวกเขาอยู่ในสภาพแวดล้อมของบริษัททุกวัน ทำให้งานที่ออกมาสอดคล้องกับภาพลักษณ์และเป้าหมายของธุรกิจ นอกจากนี้ ทีมงานยังสามารถคิดและพัฒนางานได้ในระยะยาว เพราะมีความผูกพันกับแบรนด์มากกว่าการจ้างงานแบบ Outsourcing ที่อาจทำตามโจทย์เพียงระยะสั้น 

  1. ความปลอดภัย 

การจัดการงานภายในองค์กรช่วยลดความเสี่ยงเรื่องข้อมูลรั่วไหลหรือการถูกนำข้อมูลไปใช้ในทางที่ไม่เหมาะสม เพราะข้อมูลสำคัญจะอยู่ในมือทีมงานของบริษัทเอง นอกจากนี้ ยังช่วยสร้างความมั่นใจในเรื่องการปฏิบัติตามกฎระเบียบหรือมาตรการด้านความปลอดภัยที่องค์กรกำหนดไว้ ทำให้เหมาะกับธุรกิจที่มีข้อมูลสำคัญ เช่น การเงิน การแพทย์ หรือข้อมูลลูกค้าจำนวนมาก 

ข้อเสีย

  1. ค่าใช้จ่ายสูง 

การทำงานแบบ In-House ต้องใช้งบประมาณสูงในหลายด้าน เช่น ค่าจ้างพนักงานประจำ สวัสดิการ ค่าอบรมพัฒนา และค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับอุปกรณ์หรือซอฟต์แวร์ที่จำเป็นสำหรับการทำงาน นอกจากนี้ การบริหารทีมงานยังเพิ่มต้นทุนทางอ้อม เช่น การจัดการทรัพยากรมนุษย์หรือการจัดหาพื้นที่สำนักงานสำหรับทีมที่เติบโตขึ้น ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่ายต่อเนื่อง แม้ในช่วงที่งานอาจลดลงหรือมีรายได้ลดลงก็ตาม 

  1. ข้อจำกัดด้านความเชี่ยวชาญ 

แม้ว่าทีม In-House จะเข้าใจเป้าหมายและวัฒนธรรมขององค์กรเป็นอย่างดี แต่ในบางกรณี ทีมอาจไม่มีความเชี่ยวชาญในบางเรื่อง เช่น เทคโนโลยีใหม่ๆ หรือแนวทางการตลาดที่เปลี่ยนแปลงเร็ว การฝึกอบรมพนักงานเพื่อเพิ่มทักษะอาจใช้เวลาและค่าใช้จ่ายสูง หรืออาจจะล่าช้าไม่ทันต่อความต้องการในตลาด ทำให้บางครั้งองค์กรต้องพิจารณาจ้างผู้เชี่ยวชาญจากภายนอกเข้ามาช่วยแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า 

ปัจจัยที่ต้องพิจารณาในการตัดสินใจเลือก Outsourcing หรือ In-House 

ลักษณะของงาน 

องค์กรต้องพิจารณาว่างานที่ต้องการดำเนินการเป็นงานสำคัญต่อธุรกิจหรือไม่ หากเป็นงานที่เกี่ยวข้องกับหัวใจหลักขององค์กร เช่น การวางกลยุทธ์ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ หรือการดูแลข้อมูลลูกค้า อาจเหมาะกับการทำ In-House เพื่อให้ควบคุมคุณภาพและกระบวนการได้เต็มที่ แต่ถ้างานเป็นงานเสริม เช่น การออกแบบกราฟิก การจัดการโซเชียลมีเดีย หรือการดูแลระบบไอทีเฉพาะด้าน การ Outsourcing อาจช่วยประหยัดเวลาและต้นทุนได้มากกว่า 

งบประมาณและทรัพยากรที่มีอยู่ 

การทำงานแบบ In-House ต้องใช้งบประมาณและทรัพยากรในระยะยาว เช่น ค่าจ้างบุคลากรประจำที่รวมถึงเงินเดือน สวัสดิการ และโบนัสต่างๆ ค่าอุปกรณ์ที่จำเป็นสำหรับการทำงาน เช่น คอมพิวเตอร์ ซอฟต์แวร์เฉพาะทาง และอุปกรณ์สำนักงาน รวมถึงค่าใช้จ่ายสำหรับการพัฒนาและฝึกอบรมพนักงานเพื่อให้มีความสามารถทันสมัยและพร้อมรับมือกับความท้าทายใหม่ๆ นอกจากนี้ ยังมีทรัพยากรทางด้านเวลาและการบริหารจัดการที่ต้องทุ่มเทในการสร้างทีมให้มีประสิทธิภาพ  

ในทางกลับกัน การ Outsourcing สามารถช่วยลดค่าใช้จ่ายในระยะสั้นได้ โดยเฉพาะงานที่ไม่เกิดขึ้นบ่อยหรือมีความเฉพาะเจาะจงที่ไม่ต้องการทรัพยากรจำนวนมาก องค์กรจึงควรประเมินทั้งงบประมาณ ทรัพยากรที่มีอยู่ และผลตอบแทนจากการลงทุนอย่างละเอียด เพื่อเลือกแนวทางที่ตอบโจทย์และเหมาะสมกับสถานการณ์ทางการเงินและเป้าหมายขององค์กร 

ระยะเวลาของโครงการและความยืดหยุ่นที่ต้องการ 

สำหรับงานระยะสั้นหรือโครงการที่ต้องการผลลัพธ์ทันที Outsourcing เป็นตัวเลือกที่รวดเร็ว เพราะเข้าถึงผู้เชี่ยวชาญได้ทันทีและปรับขอบเขตงานได้ง่าย เหมาะกับงานเฉพาะทางหรือโครงการที่ไม่ต้องการทีมงานประจำ เช่น การพัฒนาซอฟต์แวร์ หรือกิจกรรมส่งเสริมการขายช่วงสั้นๆ 

แต่หากเป็นโครงการระยะยาวหรือเกี่ยวข้องกับกลยุทธ์หลักของธุรกิจ In-House จะให้ความยืดหยุ่นในการปรับเปลี่ยนทิศทางงานได้ดีกว่า ทีมงานประจำสามารถเข้าใจธุรกิจในเชิงลึกและปรับตัวตามเป้าหมายระยะยาว เช่น การวางแผนการตลาดต่อเนื่องหรือการดูแลลูกค้าสัมพันธ์ แม้มีค่าใช้จ่ายเริ่มต้นสูง แต่คุ้มค่าในระยะยาวเพราะช่วยรักษาคุณภาพและความต่อเนื่องของงาน 

แนวทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับธุรกิจในปี 2025 

แนวทางที่ดีที่สุดสำหรับธุรกิจในปี 2025 จะขึ้นอยู่กับลักษณะเฉพาะของแต่ละองค์กรและเป้าหมายทางธุรกิจ แต่ในภาพรวม การผสมผสานระหว่าง Outsourcing และ In-House อาจเป็นกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด เพราะสามารถใช้ข้อดีของทั้งสองรูปแบบเพื่อตอบสนองความต้องการที่หลากหลาย ตัวอย่างเช่น องค์กรสามารถใช้ In-House สำหรับงานที่สำคัญและมีความสัมพันธ์โดยตรงกับกลยุทธ์หลักขององค์กร เช่น การพัฒนาผลิตภัณฑ์ หรือการบริหารจัดการทรัพยากรมนุษย์ ในขณะที่ Outsourcing สามารถใช้สำหรับงานที่ไม่ต้องการความต่อเนื่องหรือความเชี่ยวชาญภายใน เช่น การบริการลูกค้า การออกแบบกราฟิก หรือการจัดการโซเชียลมีเดีย โดยการผสมผสานนี้ช่วยให้ธุรกิจสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ลดต้นทุน และปรับตัวได้ตามความต้องการของตลาดที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในยุคดิจิทัล 

สรุป 

Outsourcing และ In-House เป็นสองแนวทางในการจัดการงานในองค์กรที่มีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับลักษณะงานและทรัพยากรขององค์กร โดย Outsourcing คือการจ้างบริษัทภายนอกมาช่วยทำงานที่ต้องการความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านหรือไม่ต้องการเพิ่มภาระให้กับทีมภายในองค์กร ช่วยลดต้นทุนและเพิ่มความยืดหยุ่นในงานระยะสั้น ในขณะที่ In-House คือการทำงานภายในองค์กร ซึ่งเหมาะกับงานสำคัญที่เกี่ยวข้องกับเป้าหมายหลักของธุรกิจ และช่วยให้ควบคุมคุณภาพและกระบวนการได้ดียิ่งขึ้น ทั้งนี้ การเลือกวิธีใดจะขึ้นอยู่กับลักษณะของงาน งบประมาณ ทรัพยากรที่มี และระยะเวลาของโครงการ 

ต้องการสอบถามบริการ Outsourcing และ IT Solution คลิกเลย

Sora AI จะเข้ามา "แย่งงาน" หรือ "เสริมทัพ" ช่างภาพและโปรดิวเซอร์?

Sora AI โมเดลใหม่จาก OpenAI เปลี่ยนวงการคอนเทนต์แบบพลิกเกม!

ระบบอัตโนมัติช่วยประหยัดต้นทุน SME จริงไหม? เปรียบเทียบ Make.com และ n8n ให้เห็นภาพ